วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

iPhone X เปิดตัวแล้ว!



เปิดตัวอย่างเป็นทางการตามคาดแล้ว สำหรับ iPhone รุ่นประจำปี 2017 ที่ในปีนี้ เปิดตัวทั้งหมด 3 รุ่นตามคาด ซึ่งได้แก่ iPhone 8, iPhone 8 Plus และรุ่นพิเศษอย่าง iPhone X (ไอโฟนเท็น)

 
Steve Jobs Theater

สำหรับงานเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone X ในปีนี้ จัดขึ้นที่ Steve Jobs Theater ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่บน Apple Park ที่เพิ่งสร้างเสร็จแบบสด ๆ ร้อน ๆ พร้อมเปิดใช้งานสำหรับงานเปิดตัว iPhone ครั้งนี้โดยเฉพาะ มาดูกันดีกว่า iPhone X รุ่นฉลองครบรอบ 10 ปีนี้ จะมาพร้อมกับสเปกและคุณสมบัติล้ำ ๆ อะไรกันบ้าง กับบทสรุปฟีเจอร์เด่นบน iPhone X โดยทีมงาน techmoblog ครับ

สเปก iPhone X
·      ขนาดตัวเครื่อง 143.6 x 70.9 x 7.7 มม. หนัก 174 กรัม
·      หน้าจอแสดงผลขนาด 5.8 นิ้ว แบบ OLED Multi-Touch Display และ Super Retina Display ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล (458 ppi)
·      จอภาพแบบ HDR และอัตราส่วนคอนทราสต์ 1,000,000:1
·      หน้าจอแสดงผลเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ
·      ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic แบบ 6-Core Processor (64-bit) พร้อมระบบ Neural Engine และ Apple M11 หน่วยประมวลผลร่วมสำหรับประมวลผลด้านการเคลื่อนไหว
·      หน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 64 GB หรือ 256 GB
·      กล้องด้านหน้าแบบ TrueDept ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง F/2.2 และโหมดการถ่ายภาพแบบ Portrait กับ Portrait Lighting
·      กล้องคู่ด้านหลัง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้าง รูรับแสง F/1.8 และเลนส์ Telephoto รูรับแสง F/2.4, ระบบกันสั่นคู่ (Dual Optical Image Stabillization), ไฟแฟลชแบบ Quad-LED True Tone Flash และซูมดิจิตอลได้สูงสุด 10 เท่า
·      ฟีเจอร์ Face ID ระบบสแกนใบหน้าสำหรับปลดล็อกหน้าจอ ด้วยการเปิดใช้งานกล้อง TrueDepth
·      ฟีเจอร์ 3D Touch (ไม่มี Touch ID)
·      กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67
·      รองรับระบบการชาร์จแบบไร้สาย และระบบชาร์จเร็ว
·      รองรับ LTE และ Bluetooth 5.0
·      แบตเตอรี่ใช้งานได้นานกว่า iPhone 7 ถึง 2 ชั่วโมง
·      ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 11
·      มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Space Gray และ Silver
·      ราคาเปิดตัวในสหรัฐฯ อยู่ที่ $999 สำหรับรุ่นความจุ 64 GB และ $1,149 สำหรับรุ่นความจุ 256 GB (ยังไม่ประกาศราคาเปิดตัวในไทย)


iPhone X มาพร้อมกับดีไซน์แบบกระจก ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

 
สำหรับดีไซน์ของ iPhone X นั้น เรียกได้ว่า แทบไม่แตกต่างจากข่าวลือที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ โดยตัวเครื่องมาพร้อมกับกระจกสุดแกร่ง ทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวเครื่อง และขอบตัวเครื่องแบบ Stainless Steel เกรดเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม โดยตัวเครื่องด้านหน้า มาพร้อมกับดีไซน์แบบจอชิดขอบ ตัดปุ่ม Home ออก ทำให้สามารถแสดงผลได้อย่างเต็มหน้าจอ



iPhone X มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว แบบ Super Retina และเป็น iPhone รุ่นแรกที่ใช้หน้าจอแบบ OLED

ในส่วนของจอภาพนั้น iPhone X มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว แบบ Super Retina Display และเทคโนโลยีหน้าจอแบบ OLED ที่นอกจากจะมีสีสันสวยงามและให้สีสันที่แม่นยำแล้ว ยังแสดงสีดำได้ดำสนิท มีความสว่างสูง มีอัตราส่วนคอนทราสต์ที่ 1,000,000 ต่อ 1 และรองรับขอบเขตสีแบบกว้างพร้อมด้วยการจัดการสีสันทั้งระบบที่ดีที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน  นอกจากนี้ จอภาพ HDR ยังรองรับ Dolby Vision และ HDR10 พร้อมการแสดงผลแบบ True Tone ที่เพิ่มเข้ามายังช่วยปรับไวท์บาลานซ์บนหน้าจอให้ตรงกับแสงรอบๆ อยู่ตลอดเวลา

Face ID ระบบการยืนยันตัวตนแบบใหม่ ปลอดภัยมากขึ้น


เนื่องจากปุ่ม Home แบบ Physical เดิมถูกตัดออกไป ทำให้ iPhone X ไม่รองรับระบบ Touch ID หรือการสแกนลายนิ้วมือแล้ว แต่ได้เพิ่มฟีเจอร์การยืนยันตัวตนแบบใหม่ที่ปลอดภัยมากกว่าเดิม นั่นก็คือ Face ID หรือระบบการสแกนใบหน้า ด้วยระบบกล้องแบบใหม่ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า TrueDepth ซึ่งประกอบด้วย ตัวฉายจุดแสง, กล้องอินฟราเรด และอิลลูมิเนเตอร์มุมกว้าง สำหรับสร้างโครงสร้างของใบหน้า และจดจำใบหน้าได้อย่างแม่นยำ

โดย Face ID จะฉายจุดแสง IR ที่ตาเปล่ามองไม่เห็นกว่า 30,000 จุด จากนั้นภาพ IR และรูปแบบจุดจะถูกส่งต่อไปยังเครือข่ายนิวรอลเพื่อสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของใบหน้า และส่งข้อมูลนั้นไปยัง Secure Enclave เพื่อยืนยันใบหน้าที่ตรงกัน อีกทั้งยังใช้การเรียนรู้ของระบบ (Machine Learning) เพื่อปรับการทำงานให้สอดคล้องกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลาอีกด้วย
นอกจากนี้ ข้อมูลใบหน้าทั้งหมดที่บันทึกไว้ยังได้รับการจัดเก็บไว้ใน Secure Enclave ที่มีความปลอดภัยสูง และการประมวลผลทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นบนอุปกรณ์ ไม่ใช่ในระบบคลาวด์ ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
โดย Face ID จะทำการปลดล็อก iPhone X ก็ต่อเมื่อเจ้าของเครื่องมองไปที่ตัวเครื่องเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีความปลอดภัยสูง ไม่สามารถหลอกด้วยการใช้รูปถ่ายหรือหน้ากากได้

iPhone X มาพร้อมกับกล้องหน้าแบบ TrueDepth หัวใจสำคัญของ Face ID และโหมด Portrait


สำหรับกล้องหน้าบน iPhone X มาพร้อมกับความละเอียด 7 ล้านพิกเซล แต่ได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า TrueDepth ซึ่งถือว่า เป็นหัวใจสำคัญของ Face ID โดยมีคุณสมบัติในการบันทึกภาพด้วยขอบเขตสีกว้าง, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ และการควบคุมค่าแสงที่แม่นยำ นอกจากนี้ iPhone X ยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพแบบ Portrait ที่กล้องด้านหน้าแล้ว สามารถถ่ายภาพแบบระยะชัดลึกได้ (ปกติโหมด Portrait บน iPhone 7 Plus ใช้ได้เฉพาะกล้องด้านหลัง)
นอกเหนือจากโหมด Portrait แล้ว ยังมาพร้อมกับโหมด Portrait Lighting หรือโหมดจัดแสงภาพถ่ายบุคคล โดยสามารถเลือกเอฟเฟกต์ในการจัดแสงได้แตกต่างกันถึง 5 แบบ ซึ่งโหมดนี้ยังเป็นแบบ beta สำหรับทดลองใช้งานอยู่

Animoji อิโมจิเคลื่อนไหวได้ ใช้งานผ่านแอปฯ iMessage บน iPhone X


สำหรับกล้องหน้า TrueDepth บน iPhone X นั้น นอกจากจะใช้งานร่วมกับ Face ID แล้ว ยังเพิ่มสีสันให้กับอิโมจิด้วย Animoji ด้วยการทำงานร่วมกับชิปเซ็ต Apple A11 Bionic เพื่อบันทึกและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่แตกต่างกันกว่า 50 รูปแบบ แล้วจำลองการแสดงออกทางใบหน้าเหล่านั้นบน Animoji ที่เคลื่อนไหวได้ 12 แบบ เช่น แพนด้า, ยูนิคอร์น และหุ่นยนต์ โดยสามารถบันทึกและส่งข้อความ Animoji ผ่านทางแอปฯ iMessage ที่ติดตั้งมาให้แล้วบน iPhone X โดยใช้เสียงของตนเอง และยังสามารถยิ้ม, ขมวดคิ้ว และอื่น ๆ อีกมากมาย

 iPhone X มาพร้อมกล้องคู่ด้านหลังแนวตั้ง 12MP และระบบ Dual OIS
นอกเหนือจากการอัปเกรดกล้องด้านหน้าแล้ว iPhone X ยังมาพร้อมกับกล้องคู่ด้านหลัง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แบบเดียวกับ iPhone 8 Plus แต่ดีไซน์แตกต่างด้วยกล้องคู่แบบแนวตั้ง พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวคู่ (Dual Optical Image Stabillization) โดยกล้องมุมกว้างมีรูรับแสงขนาด F/1.8 ส่วนกล้องเทเลโฟโต้มีรูรับแสงกว้างขึ้นเป็น F/2.4
นอกจากนี้ กล้องคู่ด้านหลังบน iPhone X ยังมาพร้อมกับฟิลเตอร์สีแบบใหม่, พิกเซลที่เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น และโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพที่ดีกว่าเดิม ซึ่ง Apple ออกแบบขึ้เอง ทำให้สามารถบันทึกภาพด้วยขอบเขตสีกว้า และออโต้โฟกัสในสภาพแสงน้อยได้เร็วขึ้น รวมไปถึงถ่ายภาพแบบ HDR ได้สวยขึ้นด้กว่าเดิมอีกด้วย
ด้านไฟแฟลช เป็นแบบ Quad-LED True Tone ทั้งหมด 4 ดวง พร้อมคุณสมบัติ Slow Sync ทำให้ภาพมีความสว่างสม่ำเสมอยิ่งขึ้นทั้งในฉากหลังและฉากหน้า นอกจากนี้ ยังปรับแต่งให้รองรับเทคโนโลยี AR ซึ่งมีเซ็นเซอร์ Gyroscope และอุปกรณ์สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังรองรับการบันทึกวีดีโอความละเอียด 4K สูงสุด 60fps และวีดีโอแบบ Slow Motion แบบ 1080p สูงสุด 240fps
นอกจากนี้ ยังมีโหมด Portrait Lighting หรือโหมดจัดแสงภาพถ่ายบุคคล โดยสามารถเลือกเอฟเฟกต์ในการจัดแสงได้แตกต่างกันถึง 5 แบบเช่นเดียวกับกล้องด้านหน้า

iPhone X ไม่มีปุ่ม Home แล้วใช้งานอย่างไร ?
ปกติแล้ว การย้อนกลับมายังหน้า Home บน iPhone จะทำได้ด้วยการกดปุ่ม Home 1 ครั้ง แต่เนื่องจาก iPhone X ตัดปุ่ม Home ออกไป ทำให้การใช้งานแบบเดิม ๆ เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ดังนี้
ปัดขึ้นครั้งเดียวจากด้านล่าง เพื่อกลับไปยังหน้า Home


Multitask ให้ปัดขึ้น (เหมือนการกลับไปหน้า Home) แต่หยุดไว้สักครู่จะกว่าจะขึ้นหน้า Multitask มา
Control Center ปัดลงจากมุมบนขวา
Siri กดปุ่ม Power ค้างไว้
Apple Pay ให้ Double Click ที่ปุ่ม Power เพื่อเปิดใช้งาน

iPhone X มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A11 Bionic แบบ 6-Core เร็วกว่า A10 Fusion ถึง 70%

ในด้านการประมวลผลนั้น iPhone X มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A11 Bionic ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวเดียวกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus โดยเป็นแบบ 6-Core Processor ซึ่งประกอบด้วย 2-Core สำหรับการประมวลผลขั้นสูง ที่เร็วขึ้น 25% และ 4-Core สำหรับการประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งเร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A10 Fusion บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ถึง 70%

นอกเหนือจากการประมวลผลที่รวดเร็วแล้ว ชิป Apple A11 Bionic ยังประหยัดพลังงาน และสามารถทำงานทั้ง 6-Core ไปได้พร้อม ๆ กัน ทำให้สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ อีกทั้งแบตเตอรี่ยังใช้งานได้นานกว่า iPhone 7 ถึง 2 ชั่วโมง ด้าน GPU ออกแบบโดย Apple ซึ่งเป็นแบบ 3-Core ประมวลผลได้เร็วขึ้น 30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
นอกจากนี้ ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic ยังมาพร้อมกับ Neural Engine หรือระบบคิดแบบนิวรอล ซึ่งเป็นแบบ Dual-Core สามารถประมวลผลได้เร็วสุดยอดถึง 6 แสนล้านรายการต่อวินาที เหมาะสำหรับการประมวลผลแบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับอัลกอริทึมของ Machine Learning ทำให้สามารถใช้งาน Face ID รวมถึง Animoji และคุณสมบัติอื่น ๆ ได้

iPhone X รองรับการชาร์จแบบไร้สาย และระบบชาร์จเร็วแล้ว
ด้วยดีไซน์ด้านหลังแบบกระจก ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ iPhone X รองรับการชาร์จแบบไร้สายได้ โดยสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของ Qi ซึ่งรวมถึงแผ่นรองชาร์จไร้สายแบบใหม่สองรุ่นจาก Belkin และ mophie

เผยโฉม AirPower อุปกรณ์เสริมสำหรับการชาร์จแบบไร้สาย รองรับอุปกรณ์ได้พร้อมกัน 3 ชิ้น
AirPower คืออุปกรณ์เสริมด้านการชาร์จแบบไร้สายสำหรับ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นก็คือ รองรับการชาร์จอุปกรณ์ได้พร้อมกันถึง 3 ชิ้น นอกเหนือจาก iPhone ทั้ง 3 รุ่นแล้ว ยังรวมถึง Apple Watch Series 3 และกล่องชาร์จ AirPods แบบไร้สายใหม่ โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในปี 2018

iPhone X เคาะราคาเริ่มต้นที่ 35,000 บาท เปิดพรี 27 ตุลาคมนี้ จำหน่าย 3 พฤศจิกายน
ด้านราคาของ iPhone X เรียกได้ว่า เปิดตัวมาด้วยราคาแรงตามคาดเลยก็ว่าได้ โดยเริ่มต้นที่ $999 หรือราว ๆ 35,000 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64 GB ซึ่งถือว่า ไม่เกินความคาดหมายมากนัก อีกทั้งยังวางจำหน่ายล่าช้ากว่า iPhone 8 อีกด้วย โดยจะเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 27 ตุลาคม 2017 และวางจำหน่ายในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2017 ในประเทศอันดอร์รา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, บาห์เรน, เบลเยียม, บัลแกเรีย, แคนาดา, จีน, โครเอเชีย, ไซปรัส, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, เอสโตเนีย, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, กรีนแลนด์, เกิร์นซีย์, ฮ่องกง, ฮังการี, ไอซ์แลนด์, อินเดีย, ไอร์แลนด์, เกาะแมน, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เจอร์ซีย์, คูเวต, ลัตเวีย, ลิกเตนสไตน์, ลิทัวเนีย, ลักเซมเบิร์ก, มอลตา, เม็กซิโก, โมนาโก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, เปอร์โตริโก, กาตาร์, โรมาเนีย,​ รัสเซีย, ซาอุดิอาระเบีย, สิงคโปร์, สโลวะเกีย, สโลวีเนีย, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา (ยังไม่มีประเทศไทย)
สรุปราคา iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X เป็นดังนี้
  • iPhone 8 64 GB ราคา $699 (ประมาณ 24,900 บาท)
  • iPhone 8 256 GB ราคา $849 (ประมาณ 29,900 บาท)
  • iPhone 8 Plus 64 GB ราคา $799 (ประมาณ 27,900 บาท)
  • iPhone 8 Plus 256 GB ราคา $949 (ประมาณ 33,900 บาท)
  • iPhone X 64 GB ราคา $999 (ประมาณ 35,000 บาท)
  • iPhone X 256 GB ราคา $1,149 (ประมาณ 40,500 บาท)
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า iPhone X นั้น ราคาเริ่มต้นที่ $999 ซึ่งถ้าหากคิดเป็นเงินไทยแล้ว ก็อยู่ที่ราว ๆ 35,000 บาท และคาดว่า ราคาวางจำหน่ายในไทยจะไม่แตกต่างไปจากนี้มากนัก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับราคาของ Samsung Galaxy Note 8 ในไทยที่ 33,900 บาท ก็มีความเป็นไปได้ที่ iPhone X น่าจะเคาะราคาในไทยอยู่ที่ 35,900 - 36,900 บาทเลยทีเดียว ในขณะที่รุ่นท็อป ความจุ 256 GB มีราคาทะลุ 40,000 บาทอย่างแน่นอน ส่วนการวางจำหน่าย iPhone X ในไทย ถ้าเร็วที่สุดก็ช่วงปลายเดือนธันวาคม หรืออย่างช้าคือ ต้นเดือนมกราคม ปี 2018 ก็น่าจะมีข่าวดีกัน

ที่มา : techmoblog.com